1. พระมหาราชครู แต่งขึ้นในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช แห่งกรุงศรีอยุธยา แต่แต่งตั้งปี พ.ศ. ใดไม่ปรากฏ คาดว่าน่าจะอยู่ในราว พ.ศ. 2200 ท่านได้แต่งไว้ 1,252 บท นับตั้งแต่ต้น จนถึงตอน "งานสยุมพรพระสมุทรโฆษกับนางพินทุมดี" ด้วยกาพย์ฉบัง ที่ว่า
พระเสด็จด้วยน้องลีลาส | ลุอาศรมอาส- | |
นเทพลบุตรอันบนฯ |
2. สมเด็จพระนารายณ์มหาราช ทรงพระราชนิพนธ์ด้วยพระองค์เอง 205 บท แต่ไม่จบเรื่อง ก็สวรรคตเสียก่อน ทรงแต่งตั้งแต่ตอน "พระสมุทรโฆษและนางพินทุมดีไปใช้บน" (แก้บน) จนถึง ตอนที่พิทยาธรสองตนรบกัน (ตนหนึ่งตกลงไปในสวน) แต่ยังรบไม่จบ ทรงแต่งจนถึงสัททุลวิกกีฬิตฉันท์ 19 ที่ว่า
แต่นี้พี่อนุช(ะ)ถึงแก่กรรม(ะ)พิกล | เรียมฤๅจะยากยล พธู | |
ตนกูตายก็จะตายผู้เดียวใครจะแลดู | โอ้แก้วกับตนกู ฤเห็นฯ |
3. สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส ในสมัยรัชกาลที่ 3 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ทรงพระนิพนธ์ต่อจากนั้นจนจบเรื่อง นับได้ 861 บท หลังจากที่ค้างอยู่นานถึง 160 ปี (นับจากสมเด็จพระนารายณ์มหาราชเสด็จสวรรคต เมื่อ พ.ศ. 2231) เนื่องจากไม่มีผู้ใดกล้าแต่งต่อ โดยได้ทรงพระนิพนธ์เป็นสองช่วง และสุดท้ายก็จบเรื่อง เมื่อ พ.ศ. 2392 (จ.ศ. 1211) ดังโคลงสี่สุภาพท้ายเรื่องที่ 4 บท ที่ทรงเล่าไว้ชัดแจ้ง ดังนี้
จวบจุลศักราชได้ | พรรษ สหัสแฮ | |
สองสตพรรษเอกา | ทศอ้าง | |
กุกกุฏสังวัจฉรา | กติกมาส หมายเฮย | |
อาทิตย์ดลฤถีข้าง | ปักษ์ขึ้นปัญจมีฯ |
รังสรรค์ฉันท์เสร็จสิ้น | สุดสาร | |
สมุทรโฆษต่อตำนาน | เนิ่นค้าง | |
รจิตเรื่องบิพิสดาร | อดีตเหตุ แสดงเฮย | |
โดยพุทธพจนรสอ้าง | อรรถแจ้งแถลงธรรมฯ |
(จุลศักราช 1211 ปีระกา เดือนสิบสอง วันอาทิตย์ ขึ้น 5 ค่ำ)
[แก้] เนื้อเรื่อง
เนื้อเรื่องสมุทรโฆษนั้น เป็นการดัดแปลงมาจากสมุทรโฆษชาดก ในปัญญาสชาดก กล่าวคือเป็นชาดกที่มิได้มีอยู่ในพระไตรปิฎก แต่เนื้อหาในเรื่องที่พระราชครูแต่งนั้น แตกต่างไปจากชาดกอยู่บ้าง ทว่าเมื่อสมเด็จพระมหาสมณเจ้าฯ ทรงแต่ง พระองค์ได้ดำเนินตามปัญญาสชาดกจนจบเรื่อง[แก้] คำประพันธ์
คำประพันธ์ในสมุทรโฆษคำฉันท์ ระบุไว้ในชื่อของหนังสือเล่มนี้อยู่แล้ว ว่าเป็น คำฉันท์ นั่นคือ ประกอบด้วยฉันท์ และกาพย์กวีทั้งสามได้แต่งฉันท์ตามขนบฉันท์โบราณ กล่าวคือ เสียงหนักเบา (ครุ ลหุ) มิได้กำหนดจากเสียงสระเสียงยาวหรือเสียงสั้นอย่างในชั้นหลัง หากแต่เน้น “หนักเบา”จากเสียง ฉันท์ทั้งหมดนี้ขึ้นเพื่อการอ่านทำนองเสนาะ ที่มีจังหวะจะโคนไพเราะ โดยมีการใช้เลขกำกับจำนวนคำในแต่ละบาทของฉันท์นั้น
คำฉันท์ในเรื่อง ไม่ได้ระบุชนิด แต่บอกจำนวนคณะเอาไว้ เช่น 11, 12 เป็นต้น เลขระบุฉันท์และกาพย์ มีดังนี้
[แก้] กาพย์
16 : กาพย์ฉบัง, 28 : กาพย์สุรางคนางค์[แก้] ฉันท์
11 : อินทรวิเชียรฉันท์, 12 : โตฏกฉันท์, 14 : วสันตดิลกฉันท์, 15 : มาลินีฉันท์, 19 : สัททุลวิกกีฬิตฉันท์, 21 : สัทธราฉันท์, 28 : สุรางคนางค์ฉันท์[แก้] ภาษาที่ใช้
ด้วยวรรณกรรมเรื่องนี้แต่งขึ้นในสมัยอยุธยา ภาษาที่ใช้จึงเป็นภาษาเก่า อ่านเข้าใจไม่ง่ายนัก ทั้งยังมีฉันท์อยู่หลายตอน ซึ่งนิยมแต่งด้วยคำภาษาบาลีและสันสกฤต ทั้งยังมีเขมรแทรกอยู่ด้วย แต่ก็ไม่ถึงกับเป็นหนังสือที่อ่านยากจนเกินไป และยังมีหลายตอนที่ใช้ภาษาไทยอย่างง่ายๆ อย่างเข้าใจได้ดีแม้ในปัจจุบัน[แก้] ความสำคัญของสมุทรโฆษคำฉันท์
สมุทรโฆษคำฉันท์เป็นวรรณกรรมชิ้นแรกๆ ของไทย ที่มีขนบการเล่าเรื่องที่ละเอียด คล้ายกับบทละคร มีการเล่าเรื่องโดยสังเขปไว้ในตอนต้น เล่าเรื่องเบิกโรงที่เล่น ก่อนเล่าเรื่องจริง โดยเฉพาะการเล่นเบิกโรงนั้น บ่งบอกถึงประวัติการละเล่นของไทยได้เป็นดี เช่น การเล่นหัวล้านชนกัน เล่นชวาแทงหอก เล่นจระเข้กัดกัน เป็นต้นในขณะเดียวกัน สมุทรโฆษคำฉันท์ ยังเป็นวรรณกรรมคำสอน ที่นำนิทานอิงธรรม มาแต่งด้วยถ้อยคำอันไพเราะ ใช้อ่านเพื่อความเพลิดเพลิน และมีคติธรรม นอกจากนี้ นักวรรณคดีบางท่านยังอ้างว่า เป็นการแต่งเพื่อเฉลิมฉลองงานพระชนมายุครบ 25 พรรษาของสมเด็จพระนารายณ์มหาราชด้วย
[แก้] บางตอนจากสมุทรโฆษคำฉันท์
- พระสมุทรโฆษและนางพินทุมดีเสด็จป่าหิมพานต์
บรรพตรจเรขประไพ | ช่องชั้นไฉไล | |
คือช่างฉลุเลขา |
วุ้งเวิ้งเพิงตระพักเสลา | หุบห้องคูหา | |
แลห้วงแลห้วยเหวลหาร |
พุน้ำชำเราะเซาะธาร | ไหลลั่นบันดาล | |
ดั่งสารพิรุณธารา |
เงื้อมง้ำโชงกชง่อนภูผา | พึงพิศโสภา | |
เปนชานเปนช่องปล่องปน |
สีสลับยยับพรรณอำพน | เหลืองหลากกาญจน | |
แลขาวคือเพชรรัศมีฯ |
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น